วันพุธที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

กฏแห่งเวรกรรม 4

กฏแห่งเวรกรรม 3

กฏแห่งกรรม 2

กฏแห่งกรรม 1

วันอังคารที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

อย่าไปแก้อารมณ์ให้คนอื่น

พระอรหันต์ไม่กลับมาเกิดอีก

การเป็นอยู่ของปุถุชนกับพระอรหันต์

ไม่ทำทานถึงนิพพานไม่ได้

วันจันทร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ปัญญาขอนไม้

คนเราเกิดมาเพื่ออะไร




Search Engine Submitter
If you wish get high ranking in search engines. So you need to check our Link Building Company

จงเตือนตนด้วยตนเอง

เป่าปี่ให้ควายฟัง

ผ้าธงชัยดับไฟนรก

ผู้ไม่อยู่ในโอวาท

เหตุทำให้เกิดมีพระอริยะบุคคล

วันอาทิตย์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ลูกตุ้มปรอทดำ-4

ลูกตุ้มปรอทดำ3

ลูกตุ้มปรอทดำ2

กระดูกเป็นแก้ว

จิตเดิม จิตแท้ กบฏในพระพุทธศาสนา

กายนิพพาน (สัมมา อรหัง)

วันเสาร์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

หลงนิมิตลูกแก้ว

ลิงบักโกรกนาโถ

ธุดงค์แดนอีก้อ

คนตะครุบเงา

ตาบอดคลำช้าง

ชฏิล 3 พี่น้อง



ครั้นพระพุทธเจ้า ทรงส่งพระสาวกเหล่าภัททวัคคีย์ ไปประกาศพระศาสนาแล้ว ก็เสด็จตรงไปยังอุรุเวลาเสนานิคม ซึ่งตั้งอยู่ในเขตกรุงราชคฤห์ ซึ่งเป็นที่อยู่ของอุรุเวลกัสสปะ อาจารย์ใหญ่ของชฎิล 500 คน

กรุงราชคฤห์นั้น เป็นเมืองหลวงแห่งแคว้นมคธ ซึ่งเป็นมหาประเทศ พระเจ้าพิมพิสารมหาราช เป็นพระมหากษัตริย์ปกครองโดยสิทธิขาด เป็นเมืองที่คับคั่งด้วยผู้คน เจริญวิทยาความรู้ ตลอดการค้าขาย เป็นที่รวมอยู่แห่งบรรดาคณาจารย์ เจ้าลัทธิมากมายในสมัยนั้น

ในบรรดาคณาจารย์ใหญ่ ๆ นั้น ท่านอุรุเวลกัสสปะ เป็นคณาจารย์ใหญ่ผู้หนึ่ง ซึ่งเป็นที่เคารพนับถือของคนเป็นอันมาก ท่านอุรุเวลกัสสปะ เป็นนักบวชจำพวกชฎิล ท่านมีพี่น้องด้วยกัน 3 คน ออกบวชจากตระกูลกัสสปะโคตร

ท่านอุรุเวลกัสสปะ เป็นพี่ชายใหญ่ มีชฎิล 500 คนเป็นบริวาร ตั้งอาศรมสถานที่พนาสณฑ์ ตำบลอุรุเวลา ต้นแม่น้ำเนรัญชรา ตำบลหนึ่ง จึงได้นามว่า อุรุเวลกัสสปะ น้องคนกลาง มีชฎิลบริวาร 300 คน ตั้งอาศรมอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ถัดเข้าไปอีกตำบลหนึ่ง จึงได้นามว่า นทีกัสสปะ ส่วนน้องคนเล็ก มีชฎิลบริวาร 200 ตั้งอาศรมอยู่คุ้งใต้แม่น้ำเนรัญชรานั้น ตำบลหนึ่ง ซึ่งมีนามว่า ตำบลคยาสีสะประเทศ จึงได้นามว่า คยากัสสปะ ชฎิลคณะนี้ทั้งหมด มีทิฏฐิหนักในการบูชาไฟ

พระพุทธเจ้าเสด็จไปถึงอาศรมของ ท่านอุรุเวลกัสสปะ ในเวลาเย็น จึงเสด็จตรงไปพบอุรุเวลกัสสปะทันที ทรงรับสั่งขอพักแรมด้วยสักหนึ่งคืน อุรุเวลสสปะรังเกียจทำอิดเอื้อน ไม่พอใจให้พัก เพราะเห็นพระพุทธเจ้า เป็นนักบวชต่างจากลัทธิของตน พูดบ่ายเบี่ยงว่า ไม่มีที่ให้พัก

ครั้นพระพุทธเจ้าตรัสขอพักที่โรงไฟ ซึ่งเป็นสถานที่บูชาไฟของชฎิล ด้วยเป็นที่ว่าง ไม่มีชฏิลอยู่อาศัย ทั้งเป็นที่อยู่ของนาคราชดุร้ายด้วย อุรุเวลกัสสปะได้ทูล ว่า พระองค์อย่าพอใจพักที่โรงไฟเลย เพราะเป็นที่อยู่ของพระยานาค ที่มีพิษร้ายแรง ทั้งดุร้ายที่สุด อาศัยอยู่ จะได้รับอันตรายจากนาคราชนั้น ให้ถึงอันตรายแก่ชีวิต

เมื่อพระพุทธเจ้ารับสั่งยืนยันว่า นาคราชนั้นจะไม่เบียดเบียนพระองค์เลย ถ้าท่านอุรุเวลกัสสปะ อนุญาตให้เข้าอยู่ ท่านอุรุเวลกัสสปะ จึงได้อนุญาตให้เข้าไปพักแรม

หลังจากนั้น พระพุทธเจ้า ก็เสด็จเข้าไปยังโรงไฟนั้น ประทับนั่งดำรงพระสติ ต่อพระกัมมัฏฐานภาวนา ฝ่ายพระยานาค เห็นพระพุทธเจ้า เสด็จเข้ามาประทับในที่นั้น ก็มีจิตคิดขึ้งเคียด จึงพ่นพิษตลบไป

ในลำดับนั้น พระพุทธเจ้าก็ทรงดำริว่า ควรที่เราจะแสดงอิทธานุภาพ ให้เป็นควันไปสัมผัสเนื้อหนังมังสา และเอ็นกระดูกแห่งพระยานาคนี้ ระงับเดชพระยานาคให้เหือดหาย แล้วทรงแสดงอภินิหารดังพระดำรินั้น

พระยานาคไม่อาจอดกลั้นความโกรธได้ ก็บังหวนพ่นพิษเป็นเพลิงพลุ่งโพลงขึ้น พระพุทธเจ้าก็สำแดงเตโชกสิณ บันดาลเปลวเพลิงรุ่งโรจน์โชติช่วง และเพลิงทั้ง 2 ฝ่ายก็บังเกิดขึ้นแสง แดงสว่าง ดุจเผาผลาญซึ่งโรงไฟให้เป็นเถ้าธุลี

ส่วนชฎิลทั้งหลาย ก็แวดล้อมรอบโรงไฟนั้น ต่างเจรจากันว่า พระสมณะนี้ มีสิริรูปงามยิ่งนัก เสียดายที่ท่านมาวอดวายเสีย ด้วยพิษแห่งพระยานาคในที่นั้น

ครั้นรุ่งเช้า พระพุทธเจ้า ก็กำจัดฤทธิ์เดชพระยานาคให้หมดไป บันดาลให้พระยานาคนั้น ขดกายลงในบาตร แล้วทรงสำแดงแก่อุรุเวลกัสสปะ ตรัสบอกว่า พระยานาคนี้สิ้นฤทธิ์เดชแล้ว

อุรุเวลกัสสปะเห็นดังนั้น ก็ดำริว่า พระสมณะนี้มี อานุภาพมาก ทำให้พระยานาคพ่ายแพ้ไปได้ แต่ว่าก็ไม่เป็นพระอรหันต์เหมือนเราเลย มีจิตเลื่อมใสในอิทธิปาฏิหาริย์ จึงกล่าวว่า ข้าแต่สมณะ นิมนต์พระผู้เป็นเจ้าอยู่ ณ อาศรมของข้าพเจ้าเถิด ข้าพเจ้าจะถวายภัตตาหาร ให้ฉันทุกวันเป็นนิตย์

พระพุทธเจ้า ก็เสด็จประทับยังพนาสณฑ์ตำบลหนึ่ง ใกล้อาศรมแห่งอุรุเวลกัสสปะนั้น ครั้นตกกลางคืน ท้าวจาตุมหาราชทั้ง 4 ก็เสด็จลงมาหาพระพุทธเจ้า ถวายอภิวาท และประดิษฐานยืนอยู่ใน 4 ทิศ มีแสงสว่างดุจกองเพลิงก่อไว้ทั้ง 4 ทิศ

ครั้นเวลาเช้า อุรุเวลกัสสปะ จึงเข้าไปหาพระพุทธเจ้าทูลว่า นิมนต์พระสมณะ ไปฉันภัตตาหารเถิด ข้าพเจ้าตกแต่งไว้ถวายเสร็จแล้ว แต่เมื่อคืนนี้ เห็นมีแสงสว่างไปทั่ว ใครมาสู่สำนักพระองค์ จึงปรากฏรุ่งเรืองในทิศทั้ง 4

พระพุทธเจ้าจึงตรัส บอกว่า ดูก่อน กัสสปะ นั้นคือ ท้าวจาตุมหาราชทั้ง 4 ลงมาสู่สำนักตถาคตเพื่อฟังธรรม

อุรุเวลกัสสปะได้สดับดังนั้น ก็ดำริว่า พระมหาสมณะองค์นี้ มีอานุภาพมาก ท้าวจาตุมหาราชยังลงมาสู่สำนัก ถึงกระนั้น ก็ยังมิได้เป็นพระอรหันต์เหมือนเรา

พระพุทธเจ้า เสด็จมากระทำภัตตกิจ เสวยภัตตาหารเสร็จแล้ว ก็เสด็จกลับมาสู่ที่พักในตอนกลางวัน

ตกกลางคืน ท้าวสหัสสนัย ก็ลงมาสู่สำนักพระพุทธเจ้า ถวายนมัสการ แล้วยืนอยู่ที่ควรข้างหนึ่ง เปล่งรัศมีสว่าง ดุจกองไฟใหญ่ สว่างยิ่งกว่าคืนก่อน

ครั้นเพลารุ่งเช้า อุรุเวลกัสสปะ ก็ไปหาพระพุทธเจ้า ทูลอาราธนาให้ฉันภัตตาหาร แล้วทูลถามว่า เมื่อคืนนี้ มีผู้ใดมาสู่สำนักพระองค์ จึงมีรัศมีสว่างยิ่งกว่าราตรีก่อน ตรัสบอกว่า ดูก่อน กัสสปะ เมื่อคืนนี้ท้าวสักกะ ลงมาสู่สำนักตถาคต เพื่อจะฟังธรรม

อุรุเวลกัสสปะได้ฟังดังนั้น ก็คิดเห็นเป็นอัศจรรย์ เหมือนครั้งก่อน

พระพุทธเจ้าเสด็จไปเสวยภัตตาหาร แล้วกลับมาอยู่ที่พักในเวลากลางวัน

ตกกลางคืน ท้าวสหัมบดีพรหม ก็ส่งมาสู่สำนักพระบรมศาสดา เปล่งแสงสว่างยิ่งขึ้นไปกว่า 2 คืนก่อนอีก

ครั้นรุ่งเช้าอุรุเวลกัสสปะ ก็ไปทูลอาราธนาฉันภัตตาหาร แล้วทูลถามอีก ตรัสตอบว่า คืนนี้ท้าวสหัมบดีพรหม ลงมาสู่สำนักตถาคต อุรุเวลกัสสปะ ก็ดำริดุจนัยก่อน พระพุทธเจ้าเสด็จไปเสวยภัตตาหาร แล้วก็กลับมาสู่สำนัก

ในวันรุ่งขึ้น มหายัญญลาภ บังเกิดขึ้นแก่อุรุเวลกัสสปะ คือชนชาวอังครัฐทั้งหลาย จะนำเอาข้าวปลาอาหารเป็นอันมาก มาถวายแก่อุรุเวลกัสสปะ จึงดำริแต่ในราตรีว่า รุ่งขึ้นพรุ่งนี้ มหาชนจะนำเอาข้าวปลาอาหารมาให้เรา หากพระสมณะรูปนี้ สำแดงอิทธิปาฏิหาริย์ ลาภสักการะ ก็จะบังเกิดแก่ท่านเป็นอันมาก เราจักเสื่อมสูญจากการสักการะบูชา ทำอย่างไร วันพรุ่งนี้ท่านจะไม่มาที่นี้ได้

พระพุทธเจ้าทรงทราบความคิดของ อุรุเวลกัสสปะ ด้วยเจโตปริยญาณ ครั้นรุ่งเช้า พระพุทธเจ้าก็เสด็จไปสู่อุตตรกุรุทวีป ทรงบิณฑบาตรได้ภัตตาหารแล้ว ก็เสด็จมากระทำภัตตกิจยังฝั่งอโนดาต แล้วทรงไปพักในที่นั้น

ตกเย็น พระพุทธเจ้าจึงเสด็จมาที่พักเดิม ครั้นรุ่งเช้า อุรุเวลกัสสปะ ไปทูลอาราธนาเสวยภัตตาหาร และทูลถามว่า

“เมื่อวานนี้ ท่านไปแสวงหาอาหารในที่ใด ไฉนไม่ไปสู่สำนักข้าพเจ้า ข้าพเจ้าระลึกถึงพระองค์อยู่”

พระพุทธเจ้าจึงตรัสถึง ความวิตกของอุรุเวลกัสสปะ นั้นให้แจ้งทุกประการ อุรุเวลกัสสปะได้ฟัง ตกใจคิดว่า พระมหาสมณะนี้ มีอานุภาพมากแท้ ท่านล่วงรู้จิตเราได้ขนาดนี้ แต่ยังไงเสีย ท่านก็ยังไม่เป็น พระอรหันต์ เหมือนเราอยู่ดี

ในกาลนั้น ผ้าบังสุกุลจีวรบังเกิดแก่พระพุทธเจ้า พระองค์เสด็จไปซักผ้าบังสุกุล ซึ่งห่อศพนางปุณณทาสี ที่ทอดทิ้งอยู่ในอามกสุสานะป่าช้าผีดิบ เมื่อพระพุทธเจ้า เป็นกษัตริย์ชาติตระกูลสูง ทรงตรัสรู้อนุตตรสัมโพธิญาณ เป็นพระสัมพุทธเจ้า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ เป็นโมลีของโลกเห็นปานนี้แล้ว ยังทรงลดพระองค์ลงมาซักผ้าขาว ที่ห่อศพนางปุณณทาสี ที่ทอดทิ้งอยู่ในป่าช้า เพื่อทรงใช้เป็นผ้าจีวรทรงเช่นนี้ เป็นกรณีที่สุดวิสัย ของเทวดาและมนุษย์ ซึ่งอยู่ในสถานะเช่นนั้นจะทำได้ ก็เกิดเหตุแผ่นดินไหวขึ้น เป็นเหตุอัศจรรย์ถึง 3 ครั้ง

ตลอดระยะทาง พระพุทธเจ้าทรงดำริว่า เราจะซักผ้าบังสุกุลนี้ในที่ใด? ขณะนั้น ท้าวสหัสสนัย ทรงทราบในพุทธปริวิตก จึงเสด็จลงมาขุดสระโบกขรณี ด้วยพระหัตถ์ในพื้นศิลา สำเร็จด้วยฤทธิ์ให้เต็มไปด้วยน้ำ แล้วกราบทูลพระพุทธเจ้า ให้ทรงซักผ้าบังสุกุลในที่นั้น

ขณะที่พระพุทธเจ้าทรงซัก ก็ทรงดำริว่า จะทรงขยำในที่ใดดี ท้าวสหัสสนัย ก็นำเอาแผ่นศิลาใหญ่ เข้าไปถวาย ทรงขยำด้วยพระหัตถ์ จนหายกลิ่น 4 อสุภะ แล้วก็ทรงพระดำริว่า จะตากผ้าบังสุกุลจีวรในที่ใดดี ลำดับนั้นรุกขเทวดา ซึ่งสิงสถิตอยู่ ณ ไม้กุ่มบก ก็น้อมกิ่งไม้นั้นลงมา ถวายให้ทรงห้อยตากจีวร ครั้นทรงตากแล้ว พระพุทธเจ้าก็ทรงดำริว่า จะแผ่พับผ้าในที่ใด ท้าวสหัสสนัยก็ยกแผ่นศิลาอันใหญ่ มาทูลถวายให้แผ่พับผ้ามหาบังสุกุลนั้น

เช้าวันต่อมา อุรุเวลกัสสปะไปเฝ้าพระพุทธเจ้า เห็นสระและแผ่นศิลาทั้งสอง ซึ่งมิได้มีในที่นั้นมาก่อน และกิ่งไม้กุ่มน้อมลงมาเช่นนั้น จึงทูลถามพระบรมศาสดา ตรัสบอกความทั้งปวงให้ทราบ เมื่ออุรุเวลกัสสปะได้ฟัง ก็สะดุ้งตกใจคิดว่า พระสมณะองค์นี้ มีเดชานุภาพมากยิ่งนัก แม้แต่ท้าวสหัสสนัย ยังลงมาทำการรับใช้ แต่ก็ไม่เป็นพระอรหันต์เหมือนเรา

พระพุทธเจ้า เสด็จไปเสวยภัตตาหารแล้ว ก็กลับมาพักที่อาศัย ครั้นรุ่งขึ้นในวันต่อมา อุรุเวลกัสสปะ ไปทูลนิมนต์ฉันภัตตกิจ จึงตรัสว่า

“ท่านจงไปก่อนเถิด เราจะตามไปภายหลัง”

เมื่อส่งอุรุเวลกัสสปะไปแล้ว จึงเหาะไปนำเอาผลหว้าใหญ่ประจำทวีป ในป่าหิมพานต์มาแล้ว ก็เสด็จมาถึงโรงไฟ ก่อนอุรุเวลกัสสปะ ครั้นอุรุเวลกัสสปะมาถึง จึงทูลถามว่า พระองค์มาทางใด จึงถึงก่อน พระศาสดาจึงตรัสบอกแล้ว ตรัสว่า

“ดูก่อน กัสสปะ ผลหว้าประจำทวีปนี้ มีวรรณสันฐานสุคันธรสเอมโอช ถ้าท่านปรารถนาจะบริโภคก็เชิญตามปรารถนา”

อุรุเวลกัสสปะ ก็คิดเห็นเป็นอัศจรรย์เหมือนครั้งก่อน ครั้นพระพุทธเจ้า ทรงทำภัตตกิจเสร็จแล้ว ก็เสด็จกลับไปยังที่พัก

ในวันต่อมา พระพุทธเจ้า ได้ทรงทำอิทธิปาฏิหาริย์เช่นนั้น อีก 4 ครั้ง คือ ทรงส่งอุรุเวลกัสสปะมาก่อนแล้ว เสด็จเหาะไปเก็บผลมะม่วงครั้งหนึ่ง เก็บผลมะขามป้อมครั้งหนึ่ง เก็บผลส้มในป่าหิมพานต์ครั้งหนึ่ง เสด็จขึ้นไปดาวดึงส์เทวโลก นำเอาผลไม้ปาริฉัตตกครั้งหนึ่ง เสด็จมาถึงก่อน คอยท่าอุรุเวลกัสสปะอยู่ที่โรงไฟ ให้ชฎิลเห็นเป็นอัศจรรย์ใจทุกครั้ง

วันหนึ่ง ชฎิลทั้งหลายปรารถนาจะก่อไฟ ก็มิอาจผ่าฟืนออกได้ จึงคิดว่าที่เป็นแบบนี้ เพราะฤทธิ์พระมหาสมณะทำโดยแท้ พระพุทธเจ้าจึงตรัสถาม ครั้นทราบความแล้วก็ตรัสว่า ท่านจงผ่าฟืนตามปรารถนาเถิด ในทันใดนั้น ชฎิลก็ผ่าฟืนออกได้ตามประสงค์

วันหนึ่ง ชฎิลทั้ง 500 คน ปรารถนาจะบูชาไฟ ก่อไฟก็ไม่ติด จึงคิดปริวิตกเหมือนหนหลัง พระพุทธเจ้าตรัสถามทราบความแล้ว ก็ทรงอนุญาตให้ก่อไฟได้ ไฟก็ติดขึ้นทั้ง 500 กอง พร้อมกันในขณะเดียว ชฎิลทั้งหลายบูชาไฟสำเร็จแล้ว จะดับไฟ ๆ ก็ไม่ดับ จึงดำริดุจหนหลัง พระพุทธเจ้าตรัสถามทราบความแล้ว ก็ทรงอนุญาตให้ดับไฟ ๆ ก็ดับพร้อมกันถึง 500 กอง

วันหนึ่ง ในฤดูหนาว ชฎิลทั้งหลาย ลงอาบน้ำดำผุดขึ้นลง ในแม่น้ำเนรัญชรา พระพุทธเจ้า ผู้ทรงพระกรุณาแก่ชฎิล ทรงดำริว่า เมื่อชฎิลขึ้นจากน้ำแล้วจะหนาวมาก จึงทรงนิรมิตเชิงกราณประมาณ 500 อัน มีไฟติดทั้งสิ้นไว้ในที่นั้น ครั้นชฎิลทั้งหลายขึ้นจากน้ำหนาวจัดก็ชวนกันเข้าผิงไฟที่เชิงกราณ แล้วก็คิดสันนิษฐานว่า พระมหาสมณะ คงทรงเนรมิตไว้ให้เป็นแน่ น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก

วันหนึ่ง มหาเมฆตั้งขึ้นมิใช่ฤดูกาล บันดาล ให้ฝนตกลงมาเป็นอันมาก กระแสน้ำเป็นห้วงใหญ่ ไหลท่วมไปในที่ทั้งปวงโดยรอบบริเวณนั้น ธรรมดาว่า พระพุทธเจ้าเสด็จสถิตอยู่ ณ ประเทศใด แม้ที่นั้นน้ำท่วม ก็ทรงอธิษฐาน มิให้น้ำท่วมเข้าไปในที่นั้นได้ และในครั้งนั้นก็ทรงดำริว่า ตถาคตจะทำให้น้ำนั้นเป็นขอบสูงขึ้นไป ในทิศโดยรอบที่หว่างกลางนั้น จะมีพื้นภูมิภาคจะราบเรียบขึ้นปกติ ตถาคตจะจงกรมอยู่ในที่นั้น แล้วก็ทรงอธิษฐานบันดาล ให้เป็นดังพุทธดำรินั้น

ฝ่ายอุรุเวลกัสสปะนั้น คิดว่าพระมหาสมณะนี้ น้ำจะท่วมเธอหรือไม่ท่วมประการใด หรือจะหลีกไปสู่ที่อื่น จึงลงเรือพร้อมกับชฎิลทั้งหลาย รีบพายไปดูโดยด่วน ถึงที่ที่พระพุทธเจ้าทรงสถิต ก็เห็นน้ำสูงขึ้นเป็นกำแพงล้อมอยู่โดยรอบ แลเห็นพระพุทธเจ้าเสด็จจงกรมอยู่ในพื้นภูมิภาคปราศจากน้ำ จึงส่งเสียงร้องเรียก

พระพุทธเจ้าขานรับว่า “กัสสปะ ตถาคตอยู่ที่นี่” แล้วก็เสด็จเหาะขึ้นไปบนอากาศ เลื่อนลอยลงสู่เรือของอุรุเวลกัสสปะ ทำให้อุรุเวลกัสสปะคิดว่า พระมหาสมณะนี้ มีอิทธิฤทธิเป็นอันมาก แต่ถึงมีอานุภาพมากอย่างนั้น ก็ยังไม่เป็นพระอรหันต์เหมือนเรา

แท้จริง ตั้งแต่พระพุทธเจ้า เสด็จจากป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ในวันแรมค่ำหนึ่ง เดือน 12 มาประทับอยู่ที่อุรุเวลาเสนานิคม จนตราบเท่าถึงวันเพ็ญ เดือน 2 เป็นเวลาสองเดือน ทรงแสดงอิทธิปาฏิหารย์ ทรมานอุรุเวลกัสสปะ ด้วยประการต่าง ๆ อุรุเวลกัสสปะ ก็ยังมีสันดานกระด้าง ถือตนว่า เป็นพระอรหันต์ อยู่อย่างนั้น ด้วยทิฐิอันกล้ายิ่งนัก พระพุทธเจ้าจึงทรงดำริว่า เราจะทำให้ชฏิลสลดจิตคิดสังเวชตนเอง จึงมีพระวาจาตรัสแก่ อุรุเวลกัสสปะว่า

“กัสสปะ ท่านมิได้เป็นพระอรหันต์ อรหัตทั้งทางปฏิบัติของท่าน ก็ยังห่างไกล มิใช่ทางมรรคผลอันใด ไฉนเล่า ท่านจึงถือตนว่า เป็นพระอรหันต์ เท็จต่อตัวเอง ทั้ง ๆ ท่านเองก็รู้ตัวดีว่า ตัวยังมิได้บรรลุโมกขธรรมอันใด ยังลวงคนอื่นว่าเป็นพระอรหันต์อยู่อีก กัสสปะ ถึงเวลาอันควรแล้ว ที่ท่านจะสารภาพแก่ตัวเองว่า ท่านยังมิได้เป็นพระอรหันต์ ทั้งยังมิได้ปฏิบัติธรรม เพื่อเป็นพระอรหันต์ด้วย กัสสปะ แล้วท่านจะได้เป็นพระอรหันต์ เร็ว ๆ นี้แหละ”

เมื่ออุรุเวลกัสสปะ ได้ฟังพระโอวาทก็รู้สึกตัว ละอายแก่ใจ ซบเศียรลงแทบพระยุคลบาท แล้วกราบทูลว่า

“ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระองค์ขอบรรพชาอุปสมบท ในสำนักพระองค์ ขอถึงพระองค์และพระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง”

พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า

“กัสสปะ ตัวท่านเป็นอาจารย์ยิ่งใหญ่ เป็นประธานแก่หมู่ชฎิล 500 คน ท่านจงชี้แจง ให้ชฎิลบริวารยินยอมพร้อมกันก่อน แล้วตถาคต จึงจะให้บรรพชาอุปสมบท”

อุรุเวลกัสสปะ ก็กราบถวายบังคม ลามายังอาศรม แล้วก็บอกชฎิลอันเป็นศิษย์ ซึ่งชฏิลทั้งหลาย ก็ยินยอมพร้อมกันจะบรรพชา ในสำนักพระพุทธเจ้าทั้งสิ้น แล้วชฎิลทั้งหลาย ก็ชวนกันลอยดาบสบริขาร และเครื่องตกแต่งผม ชฏา สาแหรก คาน เครื่องบูชาไฟ ทั้งน้ำเต้า หนังสือ ไม้สามง่าม ในแม่น้ำทั้งสิ้น แล้วก็พากันมาเฝ้าพระพุทธเจ้า ถวายอภิวาทแทบพระยุคลบาท ทูลขอบรรพชาอุปสทบท พระพุทธเจ้า ก็กรุณาโปรดประทานอุปสมบท ด้วยเอหิภิกขุอุปสัมปทาเสมอกัน

ครั้งนั้น ท่านนทีกัสสปะ ผู้เป็นน้องกลาง เห็นเครื่องบริขารทั้งปวงลอยน้ำมา ก็คิดว่า สงสัยอันตรายจะมีแก่ดาบสผู้พี่ชาย จึงใช้ให้ชฎิลสองสามคน อันเป็นศิษย์ไปสืบดู รู้เหตุแล้ว นทีกัสสปะ ก็พาดาบสทั้ง 300 อันเป็นศิษย์ มาสู่สำนักของท่านอุรุเวลกัสสปะ ถามเหตุนั้น

ครั้นทราบความแล้ว นทีกัสสปะและบริวาร ก็เลื่อมใสชวนกัน ลอยเครื่องดาบสบริขาร ลงในแม่น้ำนั้น พากันเข้าถวายอัญชลีทูลขอบรรพชา พระพุทธเจ้าก็โปรดประทานอุปสมบท ด้วยเอหิภิกขุอุปสัมปทาด้วยกันทั้งสิ้น ดุจชฎิลพวกก่อนนั้น

ฝ่ายคยากัสสปะ ผู้เป็นน้องน้อย เห็นเครื่องดาบสบริขารของพี่ชาย ลอยน้ำลงมาจำได้ ก็คิดดุจนทีกัสสปะ ผู้เป็นพี่นั้น แล้วพาดาบสทั้ง 200 อันเป็นศิษย์ไปสู่สำนักพระอุรุเวลกัสสปะ ไต่ถามทราบความแล้วเลื่อมใส ชวนกันลอยเครื่องบริขาร ลงในแม่น้ำ แล้วก็เข้าทูลขอบรรพชาต่อพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้า ก็โปรดประทานอุปสมบท ด้วยเอหิภิกขุอุปสัมปทาดังกล่าวแล้ว

พระพุทธเจ้า ทรงทรมานชฎิลทั้ง 3 พี่น้อง มีอุรุเวลกัสสปะ เป็นต้น กับทั้งชฎิลบริวาร 1,000 คน ให้สละเสียซึ่งทิฐิแห่งตน แล้วประทานเอหิภิกขุอุปสัมปทาทั้งสิ้น เสร็จแล้วก็ทรงพาพระภิกษุสงฆ์พวกนั้น ไปสู่คยาสีสะ ตรัสพระธรรมเทศนา อาทิตตปริยายสูตร โปรดภิกษุ 1,000 นั้น ให้บรรลุพระอรหันต์ด้วยกันทั้งสิ้น

Search Engine Submitter
If you wish get high ranking in search engines. So you need to check our Link Building Company

forklift

พระองคุลิมาล-หลวงปู่สาวกโลกอุดร



องคุลิมาล หรือ พระองคุลิมาลเถระ เป็นบุคคลสำคัญในยุคต้นแห่งพุทธศาสนา โดยเฉพาะตามพุทธประวัติพุทธฝ่ายเถรวาท เดิมนั้นเป็นโจรปล้นฆ่าคน แต่ภายหลังมีศรัทธาในพุทธศาสนา ได้กลับใจบวชเป็นพระภิกษุ และบรรลุเป็นพระอรหันต์ อีกทั้งมียังบทสวดของท่านอีกด้วย ชื่อ องคุลิมาลปริตร คำว่า องคุลิมาล นั้นมาจากคำว่า องคุลิมาล แปลว่า นิ้วเป็นพวง (องคุลิ แปลว่า ข้อนิ้ว, นิ้ว มาล แปลว่า พวง - องคุลีมาร เป็นชื่อที่มักเขียนผิดบ่อย)

แต่เดิมนั้นองคุลิมาลชื่อว่า อหิงสกะ เป็นบุตรของปุโรหิตของพระเจ้าปเสนทิโกศล เมืองสาวัตถี มารดาของชื่อ มันตานี อหิงสกะได้ไปเรียนวิชาที่เมืองตักกสิลา และสามารถเรียนได้รวดเร็วอีกทั้งยังปรนนิบัติอาจารย์อย่างดี จนเป็นที่รักใคร่ของอาจารย์อย่างมาก เป็นเหตุให้ศิษย์อื่นริษยา จึงยุยงอาจารย์ว่าองคุลิมาลคิดจะทำร้าย อาจารย์จึงคิดจะกำจัดองคุลิมาลเสีย โดยบอกกองคุลิมาลว่า ถ้าจะสำเร็จวิชาต้องฆ่าคนให้ได้หนึ่งพันคนเสียก่อน องคุลิมาลจึงออกเดินทางฆ่าคน แล้วตัดนิ้วหัวแม่มือมาคล้องที่คอเพื่อให้จำได้ว่าฆ่าไปกี่คนแล้ว เหตุนี้เอง อหิงสกะจึงได้รับสมญานามว่า องคุลิมาล จนครบ 999 คน ก็มาพบพระพุทธเจ้า และได้เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ออกบวชเป็นพุทธสาวก

พระสีวลีเถระเจ้า

วันจันทร์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

พุทธทำนายสุบินนิมิตร 16 ประการ




Search Engine Submitter
If you wish get high ranking in search engines. So you need to check our Link Building Company
forklift

อวดความรู้ อวดอัตตา





Search Engine Submitter
If you wish get high ranking in search engines. So you need to check our Link Building Company
forklift

ธรรมะหลังเทศน์




Search Engine Submitter
If you wish get high ranking in search engines. So you need to check our Link Building Company
forklift

ทุกข์พาให้พ้นทุกข์

จงเป็นผู้ฟังหูไว้หู

ภัยของพระพุทธศาสนา









นิทานเต่าสอนปลา

วันอาทิตย์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ขันธ์ห้า สัมปยุตมโนวิญญาณ



ความมืดทั้งหลายแห่งรัตติกาล ย่อมปลีกหนีอันตระธานไปสิ้น เมื่อแสงอาทิตย์ผู้เป็นเจ้าแห่งภิภพแผดแสงครองฟ้าจ้าจำรัสใครรึ ยังจะมีใครกล้าจุดตะเกียงมาแข่งแสงอยู่ก็ให้มันรู้ไป
พุทธคำสอนอันแท้จริงปรากฏขึ้นอีกครั้ง ยังมีหรือ จะมีใครกล้านำเอาความคิด ความรู้ผิดๆ มาโต้แย้งแข่งความจริงแท้อีกได้

หลวงปู่สาวกโลกอุดร ธัมมปาโล


Search Engine Submitter
If you wish get high ranking in search engines. So you need to check our Link Building Company

ภิกษุทานจีวรแก่สามเณร

ความมืดทั้งหลายแห่งรัตติกาล ย่อมปลีกหนีอันตระธานไปสิ้น เมื่อแสงอาทิตย์ผู้เป็นเจ้าแห่งภิภพแผดแสงครองฟ้าจ้าจำรัสใครรึ ยังจะมีใครกล้าจุดตะเกียงมาแข่งแสงอยู่ก็ให้มันรู้ไป
พุทธคำสอนอันแท้จริงปรากฏขึ้นอีกครั้ง ยังมีหรือ จะมีใครกล้านำเอาความคิด ความรู้ผิดๆ มาโต้แย้งแข่งความจริงแท้อีกได้

หลวงปู่สาวกโลกอุดร ธัมมปาโล




วันเสาร์ที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

พระอรหันต์กั้นเชือก

ความมืดทั้งหลายแห่งรัตติกาล ย่อมปลีกหนีอันตระธานไปสิ้น เมื่อแสงอาทิตย์ผู้เป็นเจ้าแห่งภิภพแผดแสงครองฟ้าจ้าจำรัสใครรึ ยังจะมีใครกล้าจุดตะเกียงมาแข่งแสงอยู่ก็ให้มันรู้ไป
พุทธคำสอนอันแท้จริงปรากฏขึ้นอีกครั้ง ยังมีหรือ จะมีใครกล้านำเอาความคิด ความรู้ผิดๆ มาโต้แย้งแข่งความจริงแท้อีกได้

หลวงปู่สาวกโลกอุดร ธัมมปาโล










Search Engine Submitter
If you wish get high ranking in search engines. So you need to check our Link Building Company

ผู้ไม่เชื่อในการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า



ความมืดทั้งหลายแห่งรัตติกาล ย่อมปลีกหนีอันตระธานไปสิ้น เมื่อแสงอาทิตย์ผู้เป็นเจ้าแห่งภิภพแผดแสงครองฟ้าจ้าจำรัสใครรึ ยังจะมีใครกล้าจุดตะเกียงมาแข่งแสงอยู่ก็ให้มันรู้ไป
พุทธคำสอนอันแท้จริงปรากฏขึ้นอีกครั้ง ยังมีหรือ จะมีใครกล้านำเอาความคิด ความรู้ผิดๆ มาโต้แย้งแข่งความจริงแท้อีกได้

หลวงปู่สาวกโลกอุดร ธัมมปาโล


ศาสนาพุทธแบบเส้าหลิน



ความมืดทั้งหลายแห่งรัตติกาล ย่อมปลีกหนีอันตระธานไปสิ้น เมื่อแสงอาทิตย์ผู้เป็นเจ้าแห่งภิภพแผดแสงครองฟ้าจ้าจำรัสใครรึ ยังจะมีใครกล้าจุดตะเกียงมาแข่งแสงอยู่ก็ให้มันรู้ไป
พุทธคำสอนอันแท้จริงปรากฏขึ้นอีกครั้ง ยังมีหรือ จะมีใครกล้านำเอาความคิด ความรู้ผิดๆ มาโต้แย้งแข่งความจริงแท้อีกได้

หลวงปู่สาวกโลกอุดร ธัมมปาโล

ปฏิบัติบูชาและอามิสบูชา

เส้นผมบังภูเขา-หลวงปู่สาวกโลกอุดร




ความมืดทั้งหลายแห่งรัตติกาล ย่อมปลีกหนีอันตระธานไปสิ้น เมื่อแสงอาทิตย์ผู้เป็นเจ้าแห่งภิภพแผดแสงครองฟ้าจ้าจำรัสใครรึ ยังจะมีใครกล้าจุดตะเกียงมาแข่งแสงอยู่ก็ให้มันรู้ไป
พุทธคำสอนอันแท้จริงปรากฏขึ้นอีกครั้ง ยังมีหรือ จะมีใครกล้านำเอาความคิด ความรู้ผิดๆ มาโต้แย้งแข่งความจริงแท้อีกได้

หลวงปู่สาวกโลกอุดร ธัมมปาโล



วันศุกร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

กรรมฐานออกลูกเป็นตัว




ความมืดทั้งหลายแห่งรัตติกาล ย่อมปลีกหนีอันตระธานไปสิ้น เมื่อแสงอาทิตย์ผู้เป็นเจ้าแห่งภิภพแผดแสงครองฟ้าจ้าจำรัสใครรึ ยังจะมีใครกล้าจุดตะเกียงมาแข่งแสงอยู่ก็ให้มันรู้ไป
พุทธคำสอนอันแท้จริงปรากฏขึ้นอีกครั้ง ยังมีหรือ จะมีใครกล้านำเอาความคิด ความรู้ผิดๆ มาโต้แย้งแข่งความจริงแท้อีกได้

หลวงปู่สาวกโลกอุดร ธัมมปาโล

ของดีแต่ปางก่อน



ความมืดทั้งหลายแห่งรัตติกาล ย่อมปลีกหนีอันตระธานไปสิ้น เมื่อแสงอาทิตย์ผู้เป็นเจ้าแห่งภิภพแผดแสงครองฟ้าจ้าจำรัสใครรึ ยังจะมีใครกล้าจุดตะเกียงมาแข่งแสงอยู่ก็ให้มันรู้ไป
พุทธคำสอนอันแท้จริงปรากฏขึ้นอีกครั้ง ยังมีหรือ จะมีใครกล้านำเอาความคิด ความรู้ผิดๆ มาโต้แย้งแข่งความจริงแท้อีกได้

หลวงปู่สาวกโลกอุดร ธัมมปาโล



วันพฤหัสบดีที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ลูกตุ้มปรอทดำ-หลวงปู่สาวกโลกอุดร











                                    




















                                                                        เต่าหินพันปี






                                                        ลายมือหลวงปู่สาวกโลกอุดร




                                                             
                                                               สถานที่หลวงปู่บรรลุธรรม
















pcnforklift4

อธิบายวิปัสนาญาณ ๑๖-หลวงปู่สาวกโลกอุดร




































pcnforklift4

พระมาละกะเถรเจ้า

วันอังคารที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ถาม-ตอบ วิธีปฏิบัติ01-หลวงปู่สาวกโลกอุดร

ผู้มาบอดไปบอด

การเกิดของความคิด

แนะนำสถานที่ปฏิบัติธรรมกรรมฐาน-สำนักสงฆ์นพรัตน์วราราม

ประวัติความเป็นมาของสำนักสงฆ์นพรัตน์วราราม ตั้งอยู่หมูที่ ๓ บ้านยางบ่า ต. โคกสูง อ.เมือง จ. ชัยภูมิ เป็นสถานที่ตั้งใหม่ ทั้งพระที่มาอยู่ก็ใหม่ เป็นสถานที่ที่คุณโยมศักดิ์ขัย คุณโยมจินตนา วีรปิณ ชื้อที่ดินเฟื้ยงสร้างเป็นวัดเพื่ออุทิศเป็นอนุสรณ์ให้แก่บุตรทั้งสองผู้จากไป คือ นายนพรัตน์ วีรปิณ และ นางสาววราลักษณ์ วีรปิณ ได้ถวายสถานที่ผืนดินนี้ให้แก่สงฆ์เมื่อวันที่ ๑๒ ธ.ค. ๒๕๕๒ ขณะนี้ก็อยู่ในช่วงดำเนินการขอสร้างและขอตั้งให้เป็นวัดให้ถูกต้องตามกฎหมายบ้านเมืองต่อไป

พระมหากันติทัต กนฺติทตฺโต
Tel.0894141210
http://www.facebook.com/ttkorn























วิธีปฏิบัติธรรมกรรมฐาน-03

วันจันทร์ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ฌาณและอิทธิบาท

อธิบายหนังสือหยั่งลงก้นมหาสมุทร-หลวงปู่สาวกโลกอุดร
























ระเบิดปรมณูถล่มนามรูป-หลวงปู่สาวกโลกอุดร

วันอาทิตย์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ผลนิโรธสมาบัติ-2

เปิดเผยสภาวะธรรม-หลวงปู่สาวกโลกอุดร

ผลนิโรธสมาบัติ-1 หลวงปู่สาวกโลกอุดร

วันศุกร์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

วิธีปฏิบัติธรรมกรรมฐาน 3-หลวงปู่สาวกโลกอุดร

ความวิเศษสูงสุดในศาสนาพุทธ

ผลสภาวนิโรธรรม

วันจันทร์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

วิธีตัดภพตัดชาติ-หลวงปู่สาวกโลกอุดร

ความฟุ้งซ่านคือยอดบารมี- หลวงปู่สาวกโลกอุดร

หลักการปฏิบัติธรรม 2- หลวงปู่สาวกโลกอุดร

การพิจารณาขันธ์ ๕- หลวงปู่สาวกโลกอุดร

วิธีปฏิบัติกรรมฐาน-หลวงปู่สาวกโลกอุดร