วันอาทิตย์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2555

ธรรมชาติลี้ลับ 1 เรื่อง ผี จานบิน ปิรามิด





















บั้งไฟพญานาค หรือ บั้งไฟผี เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่ยังไม่สามารถหาคำอธิบายที่ชัดเจนได้ โดยมีลักษณะเป็นลูกไฟสีชมพู ไม่มีกลิ่น ไม่มีควัน ไม่มีเสียง พุ่งขึ้นเหนือลำน้ำโขง มีตั้งแต่ระดับ 1-30 เมตร แล้วพุ่งขึ้นไปในอากาศสูงประมาณ 50-150 เมตร เป็นเวลาประมาณ 5-10 วินาที โดยจะเกิดปีละ 1 ครั้งเท่านั้น ในช่วงวันออกพรรษา หรือ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 ตามปฏิทินลาว ซึ่งอาจตรงกับวันแรม 1 ค่ำ หรือ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 ของไทย โดยแต่ละปีจะปรากฏขึ้นประมาณ 3-7 วัน
มากกว่า 90% ของจำนวนลูกบั้งไฟพญานาคในแต่ละปี จะพบที่จังหวัดหนองคาย หน้าวัดไทย และบ้านน้ำเป อำเภอโพนพิสัย วัดอาฮง อำเภอบึงกาฬ วัดหินหมากเป้ง และอ่างปลาบึก อำเภอสังคม
ผู้ศึกษาปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาคหลายกลุ่ม พยายามอธิบายที่มาของปรากฏการณ์นี้ด้วยหลักการทางวิทยาศาสตร์ เช่น คาดว่าอาจจะเป็นก๊าซมีเทน-ไนโตรเจน หรือ ฟอสฟอรัส ที่เกิดจากการย่อยสลายของซากพืชซากสัตว์ใต้น้ำ
นอกจากประเทศไทยแล้ว ที่อื่น ๆ ในโลกก็มีรายงานการพบปรากฏการณ์ลักษณะเดียวกันนี้เช่นกัน เช่นที่ มลรัฐมิสซูรี และ มลรัฐเท็กซัส ของสหรัฐอเมริกา โดยเรียกกันว่า แสงมาร์ฟา (Marfa lights) นอกจากนี้ยังพบที่เมืองเจดด้าห์ ประเทศซาอุดิอาระเบีย ริมฝั่งทะเลแดง
พญานาค นอกจากปรากฏในรูปของบั้งไฟพญานาคแล้ว ยังมีหลักฐาน ร่องรอยและเรื่องเล่าต่างๆ อย่างเช่น บุญจันทร์ คำมุงคุณ ผู้ใหญ่บ้านและประธานโฮมสเตย์บ้านน้ำเป กิ่งอำเภอรัตนภูมิ จังหวัดหนองคาย เล่าให้ฟังว่า ขณะที่กำลังลงเรือหาปลาอยู่ในบริเวณปากห้วยน้ำเปตอนประมาณสองทุ่ม ก็เห็นสัตว์ชนิดหนึ่ง มีลักษณะคล้ายงูอยู่ในน้ำ คือตรงส่วนหัวนั้นไม่เหมือนงูทั่วๆ ไป คือมีลักษณะคล้ายหงอน และดวงตามีขนาดเท่าไข่ไก่เห็นเป็นสีแดง งูนั้นมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 20 เซนติเมตร
การเกิดบั้งไฟพญานาค ลูกไฟจะเอนเข้าหาฝั่ง หากขึ้นกลางแม่น้ำโขง แต่หากขึ้นริมฝั่ง ลูกไฟจะเอนออกไปกลางโขง ลักษณะเป็นดวงไฟขนาดเล็กเท่าหัวแม่มือ ไปจนถึงขนาดเท่าไข่ห่านหรือผลส้ม มีสีแดงอมชมพูออกสีบานเย็น หรือสีแดงทับทิม ไม่มีควัน ไม่มีเขม่า ไม่มีเปลว ไม่มีเสียง ไม่มีกลิ่น
โดยบั้งไฟพญานาคจะเริ่มปรากฏจากเหนือผิวน้ำ ตั้งแต่ระดับ 1-30 เมตร พุ่งสูงขึ้นไปประมาณระดับ 50-150 เมตร เป็นเวลาประมาณ 5-10 วินาที แล้วจะดับหายวับไปในอากาศ ทั้งๆ ที่ดวงไฟยังโตอยู่ มิได้หรี่เล็กลงแล้วค่อยๆ ดับ และไม่มีลักษณะโค้งตกลงมาเหมือนดอกไม้ไฟ ซึ่งปรากฏการณ์การเกิดบั้งไฟพญานาคนี้ได้มีนักวิทยาศาสตร์ศึกษาวิจัยหลายต่อหลายท่าน แต่ก็ยังไม่พบข้อสรุปที่ชัดเจน
ปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาค ณ วันนี้ยังไม่มีใครพิสูจน์ได้อย่างชัดแจ้งว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่ก็มีทฤษฎีและข้อสมมติฐานอยู่หลายทฤษฏี เช่น
นพ.มนัส กนกศิลป์ แห่งโรงพยาบาลหนองคาย อธิบายว่า บั้งไฟพญานาค เกิดจากก๊าซร้อน คือ ก๊าซที่มีส่วนผสมของก๊าซมีเทนและก๊าซไนโตรเจน เป็นส่วนผสมสำคัญ ซึ่งก๊าซร้อนชนิดนี้ ก็คือก๊าซชีวภาพที่ระเบิดจากหล่มอินทรียวัตถุใต้ท้องน้ำหรือในดินที่เปียก โดยมีแบคทีเรียกลุ่มมีเทนฟอร์มเมอร์ซึ่งดำรงชีวิตได้ในสภาพไร้ออกซิเจนเท่านั้น ณ ความลึกของแม่น้ำโขงและแหล่งน้ำข้างเคียง เป็นตัวช่วยผลิตก๊าซ แต่ก็ต้องใช้เวลาหลายชั่วโมง หลังจากนั้นก็จะได้ก๊าชมีเทนในปริมาณมากพอที่จะก่อให้เกิดความดันก๊าชในผิวทรายอย่างน้อย 1.45 เท่า ของความดันบรรยากาศ เมื่อไปเจอความกดดันของน้ำ ความกดดันของอากาศในตอนพลบค่ำ หล่มทรายก็จะไม่สามารถรับแรงดันได้ ก๊าซจะหลุดออกมาและพุ่งขึ้นเมื่อโผล่พ้นน้ำ และมีการฟุ้งกระจายไปบางส่วน โดยเหลือแกนในของก๊าซซึ่งลอยตัวขึ้นสูง เมื่อไปกระทบกับอนุภาพออกซิเจนอะตอมที่มีประจุ ที่มีพลังงานสูง ก็จะเกิดการสันดาปอย่างรวดเร็ว กลายเป็นดวงไฟหลายสี แต่ 95% จะเป็นดวงไฟสีแดงอำพัน พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าแล้วก็หายไป และทุกตำแหน่งที่เกิดบั้งไฟพญานาคจะอยู่ในระดับ 5-13 เมตรทั้งสิ้น
นอกจากนี้ยังพบอีกว่าความเป็นกรดและด่างของน้ำในแม่น้ำโขงก็จะสอดคล้องกับระบบนิเวศน์ที่จะเกิดการหมักก๊าซมีเทน ซึ่งคุณหมอได้เคยไปวางทุ่นดักก๊าซในแม่น้ำโขง และค้นพบว่าก๊าซที่ดักได้ในแม่น้ำโขงสามารถนำไปจุดติดไฟ จะเกิดการพุ่งวูบขึ้นมีสีออกเป็นแดงอมชมพู ส่วนคำถามที่ว่าทำไมบั้งไฟพญานาคถึงเกิดขึ้นในคืนวันออกพรรษา คุณหมอมนัสบอกว่าในคืนวันนั้นจะมีอ็อกซิเจน ก๊าซที่ช่วยให้ติดไฟสูงสุดในรอบปี ซึ่งก็เกิดจากอิทธิพลของแรงโน้มถ่วงพลังงานรังสีของดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์และโลก
ส่วนอีกสมมติฐานนึงคือ เกิดจากการกระทำของมนุษย์เอง โดยสมชาติ วิทยารุ่งเรือง ปริญญาวิศวกรรมศาสตร์บัณฑิต ได้หาวิธีการทำบั้งไฟพญานาคในแบบฉบับของเขามาได้ 8 วิธี โดยนพ.มนัส กนกศิลป์ ได้ออกมาถึงเหตุผลที่ว่า บั้งไฟพญานาคไม่น่าที่จะเกิดจากน้ำมือของมนุษย์ ได้ตั้งข้อสมมติฐานแย้งเช่น
  • คนที่กระทำต้องแข็งแรงมากเพราะกระแสน้ำมันแรงมาก ในขณะที่คนธรรมดากอดเสาอยู่ในน้ำยังทรงตัวไม่อยู่
  • นพ.มนัส กนกศิลป์ ได้เริ่มศึกษาเมื่อปี 2522 ก็มีบั้งไฟพญานาคขึ้นมาแล้ว 120 ปี ซึ่งจริง ๆ แล้ว ต้องเกิดขึ้นนานกว่านี้อีก เนื่องจากคนที่ทำคนนี้ต้องมีอายุมากกว่า 104 ปีแล้วต้องทำด้วยตัวเองจึงตัวเองจึงจะคุมความลับได้
  • การเกิดของบั้งไฟ เกิดขึ้น 52 ตำแหน่งประมาณ 1,500 – 2,500 ลูก คนที่ทำต้องมีเงินจ้างคนไปประดาน้ำทำเรื่องนี้
  • ทานกระแสน้ำที่ลึกมากและกลัวที่จะโดนเอ็ม 16 ของหน่วย นปข.ซึ่งเขาก็บอกอีกว่ามันขึ้นเฉียดเรือเขาเลยเป็นต้น
การชมบั้งไฟพญานาคนั้นนอกจากจะรู้วันแล้ว ยังต้องรู้เวลา รู้สถานที่ ที่มีแนวโน้มการเกิดบั้งไฟพญานาคอีกด้วย ตำแหน่งที่บั้งไฟพญานาคมักจะปรากฏให้เห็นว่า ทั่วทั้ง จ.หนองคาย มีอยู่ทั้งหมดประมาณ 20 จุด โดยในจ.หนองคายเกิดขึ้นหลายจุด แต่จุดที่เกิดขึ้นเป็นประจำทุกปี มีผู้พบเห็นบ่อยครั้งเริ่มจากที่ อ.สังคม บริเวณ "อ่างปลาบึก" บ้านผาตั้ง บริเวณหน้าที่ว่าการอำเภอสังคม ต่อมาที่บริเวณ "วัดหินหมากเป้ง" อ.ศรีเชียงใหม่
ถัดจากนั้นก็จะพบในเขตอำเภอเมืองบ้านหินโงม ต.หินโงม อ.เมือง หน้าสถานีตำรวจภูธรตำบลบ้านเดื่อ ต.บ้านเดื่อ อ.เมือง พอเข้าสู่เขต อ.โพนพิสัยก็จะพบแทบจะตลอดลำน้ำโขง ตั้งแต่ปากห้วยหลวง ต.ห้วยหลวง อ.โพนพิสัย ในเขตเทศบาล ต.จุมพล หน้าวัดไทย วัดจุมพล วัดจอมนาง หนองสรวง เวินพระสุก ท่าทรายรวมโชค ต.กุดบง บ้านหนองกุ้ง ซึ่งที่ อ.โพนพิสัยจะพบมากที่สุด แล้วมาพบอีก ที่กิ่งอ.รัตนวาปี บริเวณ ปากห้วยเป บ้านน้ำเป วัดเปงจาเหนือ บ้านหนองแก้ว ในเขตอ.ปากคาด บ้านปากคาดมวลชล ห้วยคาด อ.ปากคาด และที่ อ.บึงกาฬ บริเวณวัดอาฮง ตำบลหอคำ อ.บึงกาฬ ซึ่งเป็นจุดที่ชาวหนองคายเชื่อกันว่าเป็นสะดือแม่น้ำโขง เป็นเมืองหลวงของเมืองบาดาล ก็ปรากฏบั้งไฟพญานาคให้เห็นเช่นกัน
ทางด้านจังหวัดอุบลราชธานี มีชาวบ้านพบเห็นมา 2-3 ปี แล้วและทางอ.โขงเจียมก็ได้พิสูจน์มาแล้วว่ามีจริง โดยการเข้าชมปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาค อ.โขงเจียมปีนี้ กำหนดจุดชมไว้ 3 แห่ง คือ บ้านกุ่ม บ้านท่าล้ง และบ้านตามุย
สำหรับระยะเวลาในการขึ้นของบั้งไฟพญานาคนั้นจะขึ้น ระหว่างตะวันตกดินถึงประมาณ 23.00 น.ก็จะหมดไป
การเดินทางจากตัวเมืองหนองคายไปยัง อ.โพนพิสัย
- จากตัวจังหวัดหนองคาย มุ่งสู่ถนนหมายเลข 212 ประมาณ 45 กม. 
มีรถโดยสารประจำทาง สาย 224, 228, 4193 ทุกวันตั้งแต่ 05.30 ถึง 19.00 น.















ไม้งิ้วดำ

ความเชื่อ ประวัติ ไม้พระยางิ้วดำ ไม้พญางิ้วดำ ไม้งิ้วดำ
          เรียกได้ 3 ชื่อเลยพิมพ์ไปเลย 3 ชื่อ แต่ส่วนใหญ่นิยมเรียกไม้พญางิ้วดำ คือพญาของไม้งิ้ว ต้นงิ้ว พญาของต้นงิ้ว คือไม้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของบรรดาต้นงิ้ว ไม้นางพญา  ที่เรียกกันเป็นนางพญาเพราะว่าไม้ออกเป็นสีดำ การดูไม้พญางิ้วดำ ไม้พระยางิ้วดำ ไม้งิ้วดำ ตัวไม้จะออกสีดำทั้งหมด หากมีแซมไม้ ลายไม้ จะต้องออกเป็นสีชมพู  ส่วนไม้ที่มีลักษณะใกล้เคียงกับไม้พญางิ้วดำคือไม้มะเกลือไม้ก็ออกเป็นสีดำลายแซมแดง จึงต้องสังเกตให้ดี ดูไม้ให้เป็น

ส่วนความเชื่อไม้พระยางิ้วดำ ไม้พญางิ้วดำ ไม้งิ้วดำ
          ตามความเชื่อของเรื่องลึกลับ ไสยศาสตร์ คนเล่นของเล่ากันว่าต้นงิ้วดำเป็นต้นไม้วิเศษมีเทพธิดารักษา ต้นไม้งิ้วดำไม้พญางิ้วดำนี้จะเกิดยืนต้นอยู่ในป่าลึกโดยเฉพาะป่าที่มีอาถรรพ์เร้นลับยากที่มนุษย์จะเข้าไปถึงได้ง่ายๆ เนื้อไม้มีสีดำสนิทแข็งแกร่งมากโบราณจารย์เล่าว่าหลายร้อยปีทีเดียวจึงจะเกิดมีขึ้นสักต้นหนึ่ง จัดเป็นของทนสิทธิ์มหาวิเศษชั้นดีชนิดหนึ่ง ซึ่งเมื่อถึงเวลาอันควรเทพาอารักษ์ที่ปกปักรักษาดูแลจะพลีต้นยืนตายพรายทิ้งไว้ให้เพื่อรอผู้มีบุญญาบารมีนำไปทำประโยชน์เพื่อพระศาสนายิ่งหากกลายสภาพเป็นหิน (คด) เมื่อใดก็ยิ่งมีพลังอานุภาพแรงกล้าเป็นทวีคูณ อานุภาพดีเด่นทางมหาอุด คงกระพัน  แคล้วคลาด  โชคลาภ เมตตามหานิยมป้องกันคุณไสยมนต์ดำได้สารพัด เหมาะสำหรับทำมีดหมอ ดาบ ไว้สำหรับล้างอาถรรพ์ มนต์ดำต่างๆดีนัก หรือเอาไว้ปราบผี วิญญาณร้ายเข้าสิงสู่คนได้ชงักนักแล














ศรีโคตรพระตะบอง


คำสาปท้าวศรีโคตรบอง
เวียงจันทน์ล้านช้าง อย่าให้ฮุ่งเฮืองศรี
คนบ่มีสีลธรรม อยู่คองเมืองบ้าน
ผู้ใดมาครองสร้าง ปกครองตุ้มไพร่
ขอให้ฮุ่ง เพียงช้างพับหู
ฮุ่งเพียงงูแลบลิ้น ศรีโคตรสาปแช่งเวียง


ตำนานท้าวศรีโคตรพระตบองเพชรสาปแช่งเวียงจันทน์บ่ให้ฮุ่งเฮือง
เป็นตำนานที่ถืกเล่าขานกันมาเป็นเวลาช้านาน
สาเหตุที่ทำให้ท้าวศรีโคตรสาปแช่งเวียงจันทน์นั้นมีเรื่องเล่าสืบมาดังนี้

กาลครั้งหนึ่ง เมืองเวียงจันทน์เกิดเดือดฮ้อน มีช้างป่ามาบุกรุกทำลายไฮ่นาฮั้วสวน เครืองปลูกของฝัง
ตลอดบ้านเฮือนของไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน เจ้าเมืองเวียงจันท์จึงประกาศหาคนดีมาผาบช้าง
ใผผาบได้จะได้ฮับพระราชทานพระราชธิดาแห่งเวียงจันทน์เป็นคู่ครอง

ท้าวศรีโคตรผู้มีอาวุธวิเศษเป็นพระตะบองเพชร ผู้มีวิชาเก่งกล้าหาใผเปลียบเทียบบ่ได้ ก็รับอาสาผาบช้าง
และก็ผาบช้างได้สำเร็จอี่หลี พระเจ้าแผ่นดินจึงพระราชทาน “เจ้านางเขียวข่อมเทวี”
พระราชธิดาให้แก่ท้าวศรีโคตร แล้วสร้างเรือนหิน (ปราสาท) ให้อยู่ )

ต่อมาพระเจ้าเวียงจันท์อย้านว่าท้าวศรีโคตรจะแย่งราชบัลลังก์ จึงใช้อุบายต่างๆ
เพื่อที่จะกำจัดท้าวศรีโคตร แต่บ่สำเร็จ เพราะท้าวศรีโคตร ฟัน แทงบ่เข้า จึ่งฆ่าบ่ตาย
พระเจ้าเวียงจันทน์จึงคิดอุบายขึ้นโดยหลอกถามจากธิดาของตนว่า “ด้วยเหตุใดหนอท้าวศรีโคตรจึงเป็นคนเก่ง
และฆ่าบ่ตาย” พระธิดาบ่ฮู้เล่กลของพระราชบิดา ในวันหนึ่งจึงถามท้าวศรีโคตรว่า “เจ้าอ้ายเป็นคนเก่ง
ใผฆ่าก็บ่ตาย น้องอยากฮู้ว่าเจ้าอ้ายมีดีอันใดหนอ?”

ท้าวศรีศรีโคตรบ่ฮู้ถึงภัยจะเกิดกับตนเพราะความฮักเมีย จึงเล่าเรื่องสมัยบวชเป็นสามเณรให้เมียฟังว่า
ที่ตนมีพลังสามารถผาบช้างได้นั้น ก็เพราะครั้งหนึ่งได้หุงข้าวถวายหลวงตา
ได้หักเอาไม้ดิบมาคนหม้อพาให้ข้าวนั้นกลับกลายเป็นสีดำ
หลวงตาใจฮ้ายจึงสั่งให้เณรศรีโคตรฉันข้าวหม้อนั้นเพียงผู้เดียว ภายลุนมาจึงทำให้เณรศรีโครตมีพลังช้างศาล
อีกทั้งแทงบ่เข้าจึงฆ่าบ่ตายด้วยหอก ดาบ

เมียก็ถามต่อไปว่ามีทางใดบ่ที่คนอื่นจะฆ่าเจ้าอ้ายให้ตายได้
ท้าวศรีโคตรบ่คิดว่าเมียจะสามารถฆ่าตนได้ลงคอจึงตอบไปว่า “เข้าทางฮูเก่า(ทวาร)เท่านั้นก็ตายดอก”

พระธิดาจึงนำความไปเล่าให้พระบิดาฟัง พระบิดาทราบจึงหาอุบายที่จะฆ่าท้าวศรีโคตร
โดยเชิญท้าวศรีศรีโคตรไปรฮ่วมเสวยอาหารที่ท้องพระโรง และใกล้ ๆ
บริเวณท้องพระโรงได้ทำห้องบังคลหนัก(ส้วมถ่าย) โดยได้วางยนต์หอกในส้วมถ่ายนั้น

พอเสวยเสร็จและท้าวศรีโคตรเข้าห้องบังคลหนัก ยนต์หอกก็ทำงาน คือหอกก็แล่นขึ้นทางฮูเก่า
เป็นไปตามแผนการที่วางไว้ แต่ท้าวศรีโคตรบ่ตายทันที และท้าวศรีโคตรได้ทราบว่าเสียฮู้ผู้หญิงแล้ว
จึงเหาะกลับเมือตายที่เมืองศรีโคตรพระตะบอง

ก่อนตายได้สาบแช่งเมืองเวียงจันทน์ว่า "ให้ฮุ่งเพียงช้างพับหู เพียงงูแลบลิ้น"
เพราะคนเวียงจันทน์เป็นคนบ่มีสัจจธรรม ขนาดว่าท้าวศรีโคตรผาบช้างให้แล้ว ยังหาวิธีกำจัดให้ตายได้ลงคอ

ตำนานหรือนิทานท้าวศรีโคตรนี้ ยังมีคนแต่งเพิ่มเติมขึ้นอีกเป็นตำนานติดต่ออีกหลายเรื่อง
เช่นตำนานเมืองอุบล เล่าโดยคุณพ่อบำเพ็ญ ณ อุบล ซึ่งคุณพ่อบำเพ็ญ บอกว่า
เป็นอีกตำนานหนึ่งที่มีการบอกเล่าโดยที่คุณพ่อเป็นผู้รับฟังมาจากชาวบ้าน
ที่มีภูมิลำเนาอยู่ที่อำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด
เรื่องราวก็มีเนื้อหาสาระในทำนองเดียวกันกับที่เล่ามา แต่มีเรื่องเพิ่มเติมว่า...

ต่อมานางเขียวข่อม ผู้เป็นเมีย คิดถึงสามีจึงตามหาสามี จนกระทั่งมาถึงแม่น้ำมูล บริเวณดงอู่เผิ้ง
จึงหยุดพัก และประชวรพระครรภ์ เมื่อประสูตรลูกออกมาแล้วบ่สามารถนำลูกไปด้วย
จึงอธิษฐานขอฝากลูกกับเทพยดาที่ต้นยาง โดยขอให้ปกปักรักษาลูก ต้นยางที่ขอ ได้โอนอ่อนลงมา
จึงผูกอู่ไว้ที่ปลายยาง แล้วเอาแหวนทองใส่ไว้ จากนั้นต้นยางก็ตั้งขึ้นเหมือนเดิม

กาลต่อมาพระเจ้าแผ่นดินเมืองจำปาสักมาล่าสัตว์ จนกระทั่งมาถึงดงอู่เผิ้ง
ได้ยินเสียงเด็กน้อยฮ้องไห้ที่ปลายยาง ด้วยความบ่แน่ใจจึงอธิษฐานจิตว่าถ้าเป็นผีให้หนีไป
ถ้าเป็นคนขอให้กิ่งง่าต้นยางโอนออ่นลงมาจะนำไปเลี้ยงเป็นบุตร พออธิษฐานเสร็จ ต้นยางก็โอนอ่อนลงมา
เห็นแหวน ผ้า เด็ก จึงนำไปเลี้ยงที่เมืองจำปาสัก เมื่อกุมารโตเป็นหนุ่ม
จึงพามาตั้งเมืองให้อยู่ตรงที่พบอู่ เรียกว่า เมือง”อู่บน” กุมารนั้นให้นามว่า “เจ้าปทุม”

เจ้าปทุมเป็นลูกเจ้าศรีโคตร (เมืองพระตะบอง) และนางเขียวข่อม มีอาวุธคือไม้ค้อนตระกูลเมืองอุบล
เจ้าเมืองต่อมาจึงชื่อว่า พระพรหมราชวงศา

คุณพ่อบำเพ็ญ เล่าต่อไปว่า ปัจจุบันในจังหวัดอุบลราชธานี ยังมีนางเทียม (คนทรงเจ้า) ของท้าวศรีโคตร
และนางเขียวข่อม นางเทียมจะจัดการบวงสรวงทุกปี ที่บ้านนางเทียม ผู้ที่เป็นนางเทียมชื่อคุณยายขุม
บ้านอยู่หน้าวัดพลาเพล โดยจะมีการทำบุญประมาณเดือน 6 ตรงกับ วันที่ 12 เม.ย. ของทุกปี
จะมีการเข้าทรงบวงสรวงเจ้าบ่าวจำปาที่บ้านคุณยายทองม้วน ณ อุบล (แสงอร่าม) บ้านบุ่งกระแทว
(เจ้าบ่าวจำปาเป็นมเหศักดิ์ตระกูลของคุณยายทองม้วน)




ถ้ำพระทองคำเจอใหม่ในแขวงคำม่วนประเทศลาว เที่ยวถ้ำพระทองคำ

ถ้ำปาผาหรือถ้ำที่มีปลาและหน้าผาในสมัยก่อนนี้ คนลาวเรียกถ้ำปลาผาหรือ "ถ้ำปาผา" หรือ "หนองปาผา" พอไปเจอพระโบราณที่นี่ก็มีอีกชื่อหนึ่งคือถ้ำพระใหม่ ส่วนในหนังสือท่องเที่ยวใช้ชื่อว่า Tham pha pa (Buddha cave) ถ้ำนี้มีการค้นพบโดยบังเอิญตอนที่ปีนไปหาค้างคาว ถ้ำนี้ไม่มีทางขึ้น เป็นปล่องถ้ำอยู่ในหน้าผาสูง ภายในมีพระสองร้อยกว่าอง มีพระที่เป็นทองคำจริงๆ 16 องค์ ที่เหลือเป็นพระเงิน ไม้

ถ้ำนี้ห้ามถ่ายรูปและคลิปวีดีโอบนถ้ำ ถ่ายภายนอกได้ ผมจึงซื้อ CD เป็นวีดีโอและขออนุญาตมาแสดงบน youtube ซึ่งเป็นข้อมูลที่ชัดเจน ละเอียดมาก ดูในด้านล่างได้เลยครับ ส่วนผมก็ถ่ายบรรยากาศรอบๆถ้ำ การเดินทางครับ (ดูแผนที่เที่ยวถ้ำปาภา)

ชาวลาวนับถือพระที่ถ้ำนี้มาก ยิ่งตอนที่เจอใหม่ๆไม่มีทางขึ้นต้องปีนบันไดไม้ไผ่ขึ้นไป ต้องเดินลุยโคลนเข้าก็ยังมากันครับ หลังๆนี้มีทั้งคนไทย ฝรั่งต่างมาเที่ยวถ้ำนี้กันทุกวัน การเดินทางมาเที่ยวถ้ำนี้อยู่ห่างจากเมืองท่าแขกไปทางตะวันออก 5 กิโลเมตร แล้วเลี้ยวซ้ายไปอีก 8 กิโลเมตร ถนนดี ขี่มอเตอร์ไซค์เดี๋ยวเดียวก็ถึง ข้อมูลวีดีโอลงไว้ละเอียดมากลองดูนะครับ mr.hotsia มกราคม 2554









มิติซ้อนมิติ โลกซ้อนโลก
ดร. อรรถกฤต ฉัตรภูติ

ภาควิชาฟิสิกส์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

นักเขียนประจำ วิชาการ.คอม

ในปัจจุบันมีทฤษฎีทางฟิสิกส์หลายทฤษฎีที่บอกถึงความเป็นไปได้ที่จะมี โลกคู่ขนาน หรือ เอกภพคู่ขนาน (Parallel Universe) โดยในแต่ละทฤษฎีก็จะทีมาที่ไป และความหมายของคำว่าเอกภพคู่ขนานแตกต่างกันไป ซึ่งพอจะจำแนกทฤษฎีเหล่านี้ออกได้เป็น 3 ประเภทใหญ่ๆ คือ Quantum parallel universe, Inflation multi-universes และ String theory multi-universes


1. Quantum parallel universe

ซึ่งเสนอขึ้นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1957 โดยนักฟิสิกส์ชาวอเมริกันชื่อ Hugh Everett เพื่อที่จะแก้ปัญหาในทฤษฎีควอนตัม ซึ่งพัฒนาต่อมาโดยนักฟิสิกส์ Bryce DeWitt, David Deutsch และอีกหลายๆท่าน

Hugh Everett ผู้คิดค้น Many-worlds interpretation of Quantum Mechanics

แนวคิดของ Everett นี้รู้จักกันในชื่อ Many-worlds interpretation of Quantum Mechanics ซึ่งกล่าวว่าอาจจะมีเอกภพอื่นๆ ซึ่งมี กฎทางฟิสิกส์ และ ค่าคงที่ต่างๆเหมือนกับเอกภพที่เราอยู่ทุกประการ แต่อาจจะอยู่ในสถานะที่ต่างกัน และ เอกภพคู่ขนานเหล่านี้ไม่สามารถที่จะติดต่อกันได้ ในโลกของควอนตัมซึ่งเป็นโลกของความน่าจะเป็น สถานะที่ต่างกันออกไป ในแต่ละเอกภพจะสัมพันธกัน โดยกระบวนการทางควอนตัมที่เรียกว่า Quantum superposition และ ความสัมพันธ์นี้จะสิ้นสุดลง เมื่อมีการเลือกทางใดทางหนึ่งของความน่าจะเป็นนั้น ซึ่งหลังจากที่มีการเลือกเกิดขึ้นแล้ว เอกภพคู่ขนานทั้งสองจะไม่สัมพันธ์กันอีกเลย


ตัวอย่างของเอกภพคู่ขนานควอนตัมอาจจะอธิบายได้โดย สมมุติว่าเราซื้อฉลากรัฐบาล ก่อนที่จะประกาศผลรางวัล มีความเป็นไปได้อยู่ 2 ทางคือ หนึ่งเราถูกรางวัล และ สองเราถูกกิน ความน่าจะเป็นทั้งสองคือโลกที่แตกต่างกัน ในโลกหนึ่งถ้าเราถูกรางวัลที่หนึ่ง เราก็จะร่ำรวย แต่ในอีกโลกหนึ่งเราถูกหวยกินยากจนลงทุกวันๆ ในขณะที่หวยยังไม่ออก สถานะของความร่ำรวยและความยากจน ยังผสมกันอยู่เรายังบอกไม่ได้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร แต่เมื่อใดก็ตามที่กองฉลากประกาศผลรางวัล เราก็จะทราบอนาคต เมื่อนั้นโลกคู่ขนานทั้งสองก็จะไม่เกี่ยวข้องกันอีกต่อไป เช่น ถ้าผลออกมาเราไม่ถูกรางวัล เราก็จะอยู่ในโลกของเราซึ่งไม่ถูกรางวัล อาจจะเลิกเล่นหวยแล้วตั้งหน้าตั้งตาทำมาหากิน ซึ่งเราจะไม่มีทางรับรู้ถึงเอกภพคู่ขนานอีกอันหนึ่ง ซึ่งเป็นโลกที่เราถูกหวย เอกภพคู่ขนานทั้งสองตัดขาดจากกันโดยสิ้นเชิง
ไม่มีทางที่เราจะเดินทางไปยังโลกที่เราถูกหวยรางวัลที่หนึ่งได้

หน้าที่ 2 - Inflation multi-universes
2. Inflation multi-universes

เป็นแนวคิดที่พัฒนามาจากการศึกษาจักรวาลวิทยา (cosmology) หรือ การศึกษาเกี่ยวกับการกำเนิด และ วิวัฒนาการของเอกภพ หลักฐานที่เราได้จากคลื่นแม่ไมโครเวฟพื้นหลัง (Cosmic Microwave Background Radiation) ทำให้เชื่อว่าเอกภพที่เราอาศัยอยู่ ณ ขณะนี้ มีวิวัฒนาการมาจากการระเบิดครั้งใหญ่ที่เรียกว่า บิกแบง (Big Bang)

แต่เนื่องจากความรู้ที่เรามีอยู่จำกัดในปัจจุบันทำให้เราไม่สามารถเข้าใจการกำเนิดของเอกภพได้ดีนัก นักฟิสิกส์ Andre Linde ได้เสนอทฤษฎีที่เรียกว่า Bubble universe theory ซึ่งมีแนวคิดว่า เอกภพของเราเกิดขึ้นมาจาก โฟมควอนตัม (Quantum foam) ของเอกภพแม่อีกทีหนึ่ง โดยอาศัยทฤษฎีควอนตัมทำนายว่าขณะที่เอกภพพึ่งจะหลุดออกมาจากบิกแบงใหม่ๆ หรือ Early universe นั้น กาล-อวกาศ จะมีการแปรปรวนและผันผวนอย่างรุนแรง (Quantum fluctuation of space-time) เสมือนกับน้ำในหม้อที่ต้มจนเดือดพล่าน

เอกภพคู่ขนานหลายๆอันสามารถที่จะเกิดขึ้นได้ เหมือนกับฟองน้ำที่ผุดขึ้นมาเวลาน้ำเดือด ถ้าความผันผวนของ Quantum fluctuation มีขนาดไม่มาก เจ้า bubble universe ก็อาจจะขยายตัวเหมือนลูกโป่ง แล้วค่อยๆหดตัวแฟบลง จนหายไปในที่สุด แต่ถ้าความผันผวนควอนตัมนี้มีขนาดใหญ่พอ เอกภพเล็กๆเหล่านี้ก็จะมีพลังงานมากพอที่จะขยายตัวเป็นเอกภพอย่างที่เราเห็นอยู่ในปัจจุบัน

วอนตัมโฟม : ความไม่ต่อเนื่องของกาล-อวกาศ

ในระดับขนาดที่เล็กมากๆ กาล-อวกาศไม่ได้มีลักษณะเรียบและต่อเนื่อง แต่จะมีลักษณะคล้ายกับรูปภาพในหน้ากระดาษหนังสือพิมพ์ ที่เมื่อมองไกลๆจะเห็นเป็นภาพที่ต่อเนื่องเป็นเนื้อเดียวกัน แต่เมื่อเข้ามาพิจารณาในระยะใกล้ๆ หรือเมื่อส่องดูด้วยแว่นขยาย ก็จะพบว่าแท้ที่จริงแล้วเกิดจากจุดเล็กๆหลายๆจุดที่เรียงอยู่ใกล้ๆกัน

เอกภพคู่ขนานในกรณีนี้แตกต่างจากในกรณีแรกคือเอกภพทั้งหมดไม่ได้ตัดขาดกันอย่างสมบูรณ์ และกฎธรรมชาติในแต่ละเอกภพไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน เนื่องจาก bubble universe สามารถเกิดขึ้นได้อย่างไม่จำกัด ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้ในทางทฤษฎีที่อาจจะมีเอกภพหลายๆเอกภพที่นอกเหนือจากเอกภพของเรา แต่เอกภพอื่นๆที่เกิดขึ้นจะมีกฎทางฟิสิกส์แตกต่างจากเอกภพที่เราอาศัยอยู่ เช่น มีจำนวนมิติแตกต่างมากกว่า 3 มิติ มีค่าประจุอิเล็กตรอนที่แตกต่างออกไป ค่าคงที่เหล่านี้มีความสำคัญมาก เพราะถ้าหากค่าคงที่บางตัวมีค่าต่างออกไปเล็กน้อย เช่น ถ้าประจุอิเล็กตรอนมีค่าน้อยกว่านี้ พันธะเคมีของสารอินทรีย์ต่างๆอาจจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้

สิ่งมีชีวิตที่เป็นตัวเราก็ไม่สามารถเกิดขึ้นได้เช่นกัน ดังนั้นถ้าเราจะเดินทางไปยังเอกภพอื่น (จะด้วยวิธีใดก็ตาม) คงเป็นไปได้ยากที่จะรอดชีวิตอยู่ในเอกภพเหล่านั้น และเช่นเดียวกัน สิ่งมีชีวิตในเอกภพที่มีกฎทางฟิสิกส์ต่างจากเราก็คงไม่อยากที่จะมาทนทุกข์อยู่ในเอกภพของเรา การเดินทางไปมาระหว่างเอกภพคู่ขนานดูจะไม่ทำให้เกิดประโยชน์ใดๆขึ้นมา

หน้าที่ 3 - String theory multi-universes
3. String theory multi-universes

แนวคิดเรื่องเอกภพคู่ขนานในกลุ่มนี้ เป็นแนวคิดที่ได้มาจากทฤษฎีเส้นเชือก หรือ
String Theory ซึ่งเป็นทฤษฎีที่สร้างขึ้นมาเพื่อที่จะอธิบายธรรมชาติของแรงโน้มถ่วงในระดับพลังงานสูงๆ ก่อนอื่นต้องขออธิบายว่าในวิชาฟิสิกส์เราแบ่งแรงในธรรมชาติออกเป็น 4 ชนิด คือ
. แรงโน้มถ่วง ซึ่งเป็นแรงที่ดึงดูดมวลสารและพลังงานเข้าด้วยกัน เช่น แรงที่ดึงดูดดวงจันทร์เข้ากับโลกเป็นต้น

• แรงแม่เหล็กไฟฟ้า เป็นแรงที่กระทำกับอนุภาคที่มีประจุ เช่น แรงที่ดูดอิเล็กตรอนให้วิ่งวนรอบนิวเคลียส เป็นแรงที่อยู่เบื้องหลังปฏิกิริยาเคมีทั้งหมด รวมถึงระบบประสาทในสิ่งมีชีวิต

• แรงนิวเคลียร์แบบอ่อน เป็นแรงที่เกิดในการสลายตัวของธาตุกัมมันตรังสี
และปฏิกิริยานิวเคลียร์บนดวงอาทิตย์เป็นต้น

• สี่แรงนิวเคลียร์แบบเข้ม เป็นแรงที่ดึงดูดอนุภาคควาร์ก ให้รวมกันอยู่ได้โปรตรอนและนิวตรอน ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของอะตอม
ถ้าปราศจากซึ่งแรงทั้งสี่นี้ ธรรมชาติย่อมจะไม่เป็นอย่างที่เราเห็น และ สิ่งมีชีวิตต่างๆคงไม่สามารถที่จะเกิดขึ้นได้
ในบรรดาแรงทั้ง 4 ชนิดที่กล่าวไปนั้น แรงโน้มถ่วงเป็นแรงที่เราเข้าใจน้อยที่สุด แม้ว่าเราจะรู้จักมันมาตั้งแต่สมัยของ เซอร์ ไอแซค นิวตัน ปัจจุบันทฤษฎีที่เราใช้อธิบายแรงโน้มถ่วงคือ ทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป ซึ่งค้นพบโดย อัลเบอร์ต ไอน์สไตน์ เมื่อเกือบ 100 ปีมาแล้ว ซึ่งสามารถใช้ทำนายปรากฏการณ์ต่างๆ และวิวัฒนาการของเอกภพได้ดีในระดับหนึ่ง แต่อย่างไรก็ตามทฤษฎีสัมพัทธภาพก็มีข้อจำกัด เพราะไม่สามารถอธิบาย พฤติกรรมของแรงโน้มถ่วง ในสถานะการที่มีพลังงานสูงๆได้ เช่น ถ้าต้องการอธิบายการกำเนิดของเอกภพเป็นต้น



นอกจากนี้ในปัจจุบันการศึกษาจักรวาล โดยอาศัยทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป ไม่สามารถตอบปัญหาสำคัญๆ เช่น ปัญหาสสารมืด (Dark matter problem) และปัญหาพลังมืด (Dark Energy problem) ได้ นักฟิสิกส์ จึงต้องการทฤษฎีอื่น เพื่อที่จะช่วยเสริม ในจุดที่ทฤษฎีควอนตัมและทฤษฎีสัมพัทธภาพ ไม่สามารถอธิบายได้ ซึ่ง ทฤษฎีสตริง ก็เป็นตัวเลือกหนึ่งของทฤษฎีดังกล่าว

Extra dimension

สมมุติว่ากาล-อวกาศเป็นผิวของหลอดกาแฟ ซึ่งเป็นพื้นผิวสองมิติ ดังที่แสดงในรูป มดที่เดินอยู่บนหลอดกาแฟ จะสามารถเคลื่อนที่ได้ในสองมิติ แต่ถ้ารัศมีของหลอดกาแฟเล็กลงมากๆ มดที่เดินอยู่ในบริเวณนั้น ก็จะรู้สึกเหมือนว่ามันเดินอยู่บนเส้นลวด ซึ่งมีจำนวนมิติเท่ากับหนึ่งมิติ


ในทฤษฎีเส้นเชือก กาล-อวกาศมีได้มากถึง 10 มิติ แต่ในชีวิตประจำวันเรารู้สึกได้เพียง 4 มิติ นักฟิสิกส์อธิบายว่ามิติพิเศษ หรือ Extra dimension ที่เหลืออีก 6 มิตินั้น จะม้วนเป็นวงเล็กๆ จนเราไม่สามารถที่จะตรวจวัดได้ (ใน M-theory เอกภพมีได้ถึง 11 มิติเลยทีเดียว)


ในทฤษฎีสตริง อนุภาคถูกอธิบายว่า มีลักษณะเป็นเส้นเชือกหนึ่งมิติ โดยการสั่นของเส้นเชือกนี้ ทำให้เกิดเป็นตัวโน๊ตต่างๆ ตัวโน๊ตหนึ่งตัว สามารถแทนอนุภาคได้หนึ่งตัว ตัวโน๊ตที่ต่างคีย์กัน ก็จะให้อนุภาคที่ต่างชนิดกัน



ในการที่จะให้ทฤษฎีสตริง มีคุณสมบัติทางคณิตศาสตร์ที่เหมาะสม นักฟิสิกส์พบว่าจำนวนมิติของเอกภพจะต้องมีถึง 10 มิติ คือ เวลาหนึ่งมิติ และ อวกาศอีก 9 มิติ ยิ่งไปกว่านั้นในทฤษฎีที่เรียกว่า M-theory ซึ่งเป็นทฤษฎี ที่พัฒนาต่อมาจากทฤษฎีเส้นเชือก กาล-อวกาศ อาจจะมีได้ถึง 11 มิติ คือ เวลาหนึ่งมิติ และ อวกาศอีก 10 มิติ แต่ในเอกภพของเรานั้น เราสังเกตจำนวนมิติได้เพียงแค่ 4 มิติทฤษฎีสตริงจึงอธิบายว่า มิติที่เกินมา ซึ่งเรียกว่า Extradimension หรือมิติพิเศษนั้นขดตัวอยู่โดยที่ขนาดของมันเล็กมากจนเราไม่สามารถสังเกตได้



สำหรับแนวคิดเรื่องเอกภพคู่ขนาน ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากทฤษฎีเส้นเชือกนั้น กล่าวไว้ว่า เอกภพของเราซึ่งมีอยู่ 4 มิตินั้น เป็นแผ่นหรือเยื่อ (Membrane) ที่ลอยอยู่ใน Hyperspace ซึ่งอวกาศที่มีจำนวนมิติ 11 มิติ ตามทฤษฎีมีความเป็นไปได้ ว่าอาจจะมีเอกภพอื่นๆ นอกเหนือจากเอกภพของเรา ซึ่งล่องลอยอยู่ใน Hyperspace ด้วยเช่นกัน ในบางทฤษฎีเอกภพอีกอันหนึ่ง อาจจะล่องลอยขนานกับเราใน Hyperspace และอาจจะอยู่ห่างจากเราเพียงไม่กี่มิลลิเมตรก็ได้ (เป็นระยะห่างในมิติพิเศษ)



แต่เอกภพเหล่านั้น อาจจะมีจำนวนมิติรวมถึงกฎทางธรรมชาติ ที่แตกต่างออกไปจากเอกภพของเรา ซึ่งจะคล้ายๆกับแนวคิด ของเอกภพคู่ขนานที่ได้จาก ทฤษฎี Bubble universe theory



นักฟิสิกส์ที่เชื่อแนวคิดนี้ ได้สร้างโมเดลอธิบายการกำเนิดของเอกภพเอาไว้ด้วย ซึ่งรู้จักกันในชื่อของ Cyclic model โดยอธิบายการกำเนิดของเอกภพที่เรียกกันว่าบิกแบงนั้น เกิดจากการที่เอกภพคู่ขนานเหล่านี้เคลื่อนที่เข้าชนกัน

หน้าที่ 4 - ปัญหาของทฤษฎีเอกภพคู่ขนาน

แนวคิดเรื่องเอกภพคู่ขนานที่ได้จากทฤษฎีสตริง และ Bubble universe theory มีลักษณะเหมือนกันตรงที่ เอกภพอื่นๆที่ไม่ใช่เอกภพที่เราอาศัยอยู่นั้นจะมีกฎทางฟิสิกส์ที่แตกต่างจากโลกของเรา เช่นมีค่าประจุอิเล็กตรอน และค่าการสลายตัวของธาตุกัมมันตรังสีแตกต่างออกไป นั่นคือเราเพียงแต่โชคดีที่ได้เกิดอยู่ในเอกภพแห่งนี้ ที่มีค่าคงทีทางฟิสิกส์ และกฎธรรมชาติ ที่เหมาะสมแก่การเกิดสิ่งมีชิวิตในแบบที่เราเห็น ถ้าเราเกิดไปเกิดอยู่ในเอกภพที่มีเพียงแค่ สองมิติ เราคงเป็นสิ่งมีชีวิตอีกแบบหนึ่งซึ่งต่างจากที่เราเป็นอยู่มาก

แนวความคิดที่อธิบายธรรมชาติในลักษณะนี้ เรียกว่า Anthropic principle คือ อธิบายว่าธรรมชาติ เป็นอย่างที่เราเห็น ก็เพราะว่ามีตัวเราเกิดขึ้นมาเห็นมัน หรือ มันเป็นเช่นนั้นเอง ถ้ามันไม่เป็นเช่นนั้น ก็จะไม่มีเรามาตั้งคำถาม ซึ่งเป็นคำอธิบายในลักษณะกำปั้นทุบดิน ที่นักฟิสิกส์หลายๆคนไม่ชอบนัก นักฟิสิกส์จะรู้สึกพอใจมาก ถ้าเขาสามารถอธิบายได้ว่ากลไกในธรรมชาติอันไหน ที่ทำให้ธรรมชาติเป็นอย่างที่มันเป็น

กำเนิดจักรวาลใน Cyclic Universe model

มีลักษณะเป็นแผ่น membrane 3 มิติ ที่ลอยอยู่ใน Hyperspace 11 มิติ การกำเนิดของจักรวาลเกิดขึ้นเมื่อ (ก) เอกภพคู่ขนานอีกอันหนึ่งคลื่อนที่เข้ามาใกล้ (ข) เมื่อเอกภพคื่อขนานทั้งสองชนกันจะเกิดการระเบิดครั้งใหญ่ที่เรียกว่าบิกแบง (ค) จากนั้นแผ่นเอกภพทั้งสองก็จะเคลื่อนที่ออกจากกัน เอกภพเกิดการขยายตัวเกิดเป็นเอกภพที่เราเห็นในปัจจุบัน (ง) เมื่อขยายตัวมาขึ้นมวลสารในเอกภพก็จะเจือจางลง (จ) จนเมื่อถึงจุดหนึ่งแรงดึงดูดระหว่างมวลของเอกภพคู่ขนานทั้งสองก็จะดึงให้มันวิ่งเข้าหากัน และเกิดกระบวนการบิกแบงอีกครั้ง ซึ่งในทฤษฎีนี้เอกภพไม่มีจุดจบ แต่จะเกิดใหม่เรื่อยๆ

ปัญหาใหญ่อีกอย่างของทฤษฎีเอกภพคู่ขนานคือ การทดสอบทฤษฎี โดยเฉพาะทฤษฎีที่ได้แรงบันดาลใจ มาจากทฤษฎีสตริง เพราะตามทฤษฎีแล้ว การที่จะเห็นมิติพิเศษอื่นๆที่มากกว่า 4 นั้น จะต้องอาศัยพลังงานสูงมากๆ และอาจจะต้องใช้เทคโนโลยี ที่สูงกว่าที่เรามีอยู่ในปัจจุบัน อย่างไรก็ดีนักฟิสิกส์หลายๆคนเชื่อว่า เราอาจจะตรวจพบสัญญาณจากมิติที่ห้า จากการทดลองโดยเครื่องเร่งอนุภาค Large Hadron Collider (LHC) ที่ห้องปฏิบัติการ CERN ในประเทศสวิสเซอร์แลนด์ นอกจากนี้แล้วการศึกษาคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ที่เรียกว่า
Cosmic Microwave Background (CMB) ก็อาจจะทดสอบทฤษฎี Bubble Universe ได้ว่าน่าเชื่อถือหรือไม่

สิ่งหนึ่งที่ควรจะคิดไว้เสนอคือ ฟิสิกส์เป็นศาสตร์ที่ศึกษาธรรมชาติ และอธิบายธรรมชาติโดยอาศัยภาษาคณิตศาสตร์ ทฤษฎีทางฟิสิกส์เป็นแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ ที่สร้างมาเพื่ออธิบายปรากฏการณ์ธรรมชาติ แต่ไม่ได้หมายความว่าธรรมชาติเป็นจริงเช่นนั้น ทฤษฎีหนึ่งอาจจะอธิบายเรื่องหนึ่งๆได้ดี แต่อีกเรื่องหนึ่งอาจจะใช้ไม่ได้เลยก็ได้ เพราะฉะนั้นการที่จะนำทฤษฎีใดทฤษฎีหนึ่ง ไปอธิบายปรากฏการณ์ใดๆ จึงควรจะทำความเข้าใจตัวทฤษฎีให้ถ่องแท้เสียก่อน เราไม่ควรปักใจเชื่อว่าธรรมชาติเป็นจริงตามทฤษฎี เพราะธรรมชาตินั้นซับซ้อนกว่าที่มนุษย์จะเข้าใจมากนัก






2 ความคิดเห็น:

  1. ไม่เชือก็อย่าลบหลู่
    http://howtoloveworld.blogspot.com/2013/12/karma-to-separate-miscarry.html

    ตอบลบ
  2. มีคนหลุดเข้าไปอีกมิตินึงเออคือไปแค่จิตไปอีกเมืองผมไม่รู้จะไปตามได้ยังไง

    ตอบลบ